การใช้อวัจนภาษาและวัจนภาษาในการสื่อสารจึงมีความสัมพันธ์กันหลายประการ สรุปได้ดังนี้
1. ใช้ซ้ำกัน การใช้อวัจนภาษาที่มีความหมายเช่นเดียวกันกับวัจนภาษาช่วยให้สื่อความหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น เพื่อนชวนเราไปดูภาพยนตร์ เราตอบปฏิเสธว่าไม่ไปพร้อมกับส่ายหน้าไปด้วย อาการส่ายหน้าเป็นอวัจนภาษาที่ซ้ำกับคำพูดที่ปฏิเสธออกไปนั่นเอง หากเราพูดเบาเพื่อนไม่ได้ยินเสียงแต่เห็นการส่ายหน้าก็สามารถเข้าใจได้
2. ใช้แทนกัน การใช้อวัจนภาษาทำหน้าที่แทนคำพูดเช่น เพื่อนถามว่า เธอไปเป็นเพื่อนฉันได้หรือไม่ ผู้ตอบพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ก็สื่อความหมายได้ว่าเป็นการตอบตกลง
3. ใช้เสริมกัน การใช้อวัจนภาษาเพิ่มหรือเสริมน้ำหนักให้แก่คำพูดเพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือแสดงภาพจากตัวอักษรให้จริงจังมากขึ้น เช่น เมื่อเราไปขอความเห็นใจจากใคร สักคน ถ้าลำพังถ้อยคำที่ พูดอย่างเดียวอาจจะแสดงอารมณ์ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเราใช้น้ำเสียงและการแสดงออกบน ใบหน้าและดวงตาประกอบ ก็จะทำให้ผู้รับสารมีปฏิกิริยาตอบสนองในทางอารมณ์เข้าใจและเห็นใจเรามากขึ้น
4. ใช้เน้นกัน การใช้อวัจนภาษาเน้นบางจุดที่ผู้พูดต้องการจะเน้นประกอบกับวัจนภาษา ซึ่งการเน้นนั้นมีน้ำหนักแตกต่างกัน มีเน้นมาก เน้นพอสมควรหรือเน้นเล็กน้อย เครื่องมือที่ช่วยในการเน้นที่สำคัญ ๆ เช่น การบังคับเสียงให้ดังขึ้นกว่าปกติ การเคลื่อนไหวมือและแขน การเคลื่อนไหวของศีรษะ เป็นต้น
5. ใช้ขัดแย้งกัน การใช้อวัจนภาษาที่สื่อความหมายตรงกันข้ามกับสารในคำพูด เช่น เราได้รับรางวัลมารยาทดีเด่น เพื่อนมากล่าวคำยินดีด้วยแต่สีหน้ามิได้ยิ้มแย้มและแววตาของเขากลับดูเฉยเมยมิได้แสดงออกถึงความยินดีนั้นเลย เช่นนี้แสดงว่าการใช้วัจนภาษาขัดแย้งกับอวัจนภาษา