วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

การสอนภาษาไทยห้อง 4/3






    




การใช้อวัจนภาษาและวัจนภาษาในการสื่อสารจึงมีความสัมพันธ์กันหลายประการ  สรุปได้ดังนี้

    1. ใช้ซ้ำกัน  การใช้อวัจนภาษาที่มีความหมายเช่นเดียวกันกับวัจนภาษาช่วยให้สื่อความหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  เช่น  เพื่อนชวนเราไปดูภาพยนตร์  เราตอบปฏิเสธว่าไม่ไปพร้อมกับส่ายหน้าไปด้วย  อาการส่ายหน้าเป็นอวัจนภาษาที่ซ้ำกับคำพูดที่ปฏิเสธออกไปนั่นเอง  หากเราพูดเบาเพื่อนไม่ได้ยินเสียงแต่เห็นการส่ายหน้าก็สามารถเข้าใจได้ 

     2. ใช้แทนกัน
  การใช้อวัจนภาษาทำหน้าที่แทนคำพูดเช่น  เพื่อนถามว่า  เธอไปเป็นเพื่อนฉันได้หรือไม่  ผู้ตอบพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร  ก็สื่อความหมายได้ว่าเป็นการตอบตกลง 

     3. ใช้เสริมกัน
  การใช้อวัจนภาษาเพิ่มหรือเสริมน้ำหนักให้แก่คำพูดเพื่อแสดงอารมณ์  ความรู้สึก  หรือแสดงภาพจากตัวอักษรให้จริงจังมากขึ้น  เช่น  เมื่อเราไปขอความเห็นใจจากใคร สักคน  ถ้าลำพังถ้อยคำที่ พูดอย่างเดียวอาจจะแสดงอารมณ์ไม่เต็มที่  แต่ถ้าเราใช้น้ำเสียงและการแสดงออกบน ใบหน้าและดวงตาประกอบ  ก็จะทำให้ผู้รับสารมีปฏิกิริยาตอบสนองในทางอารมณ์เข้าใจและเห็นใจเรามากขึ้น  

     4. ใช้เน้นกัน
  การใช้อวัจนภาษาเน้นบางจุดที่ผู้พูดต้องการจะเน้นประกอบกับวัจนภาษา  ซึ่งการเน้นนั้นมีน้ำหนักแตกต่างกัน  มีเน้นมาก  เน้นพอสมควรหรือเน้นเล็กน้อย  เครื่องมือที่ช่วยในการเน้นที่สำคัญ ๆ  เช่น  การบังคับเสียงให้ดังขึ้นกว่าปกติ  การเคลื่อนไหวมือและแขน  การเคลื่อนไหวของศีรษะ  เป็นต้น  

     5. ใช้ขัดแย้งกัน
  การใช้อวัจนภาษาที่สื่อความหมายตรงกันข้ามกับสารในคำพูด  เช่น  เราได้รับรางวัลมารยาทดีเด่น  เพื่อนมากล่าวคำยินดีด้วยแต่สีหน้ามิได้ยิ้มแย้มและแววตาของเขากลับดูเฉยเมยมิได้แสดงออกถึงความยินดีนั้นเลย  เช่นนี้แสดงว่าการใช้วัจนภาษาขัดแย้งกับอวัจนภาษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น